รัฐบาลอิสราเอลสั่งให้ประชาชนกลับมาสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่ร่วมหรือภายในอาคาร เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ “เดลตา”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ว่ากระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่านับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 มิ.ย.นี้ “จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง” ประชาชนในอิสราเอลต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่ภายในอาคารหรือสถานที่ปิด ยกเว้นภายในที่พักอาศัยของตัวเอง โดยการประกาศคำสั่งนี้เกิดขึ้นเพียง 10 วัน หลังรัฐบาลยุติมาตรการบังคับให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่ภายในอาคาร
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุข “ขอแนะนำ” ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ โดยเฉพาะหากรวมตัวในกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งงานแรกที่จะเกิดขึ้นช่วงนี้ คืองานพาเหรด “เกย์ ไพรด์” ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
แม้ชาวอิสราเอลประมาณ 55% จากทั้งหมดราว 9.3 ล้านคนในประเทศ ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ครบสองโด๊สแล้ว และรัฐบาลเริ่มให้เด็กอายุ 12-15 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยในอิสราเอลยังมีความลังเล ในการให้บุตรหลานรับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้อิสราเอลรายงานการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ ในโรงเรียนอย่างน้อย 2 แห่ง และมีผู้ป่วยติดเชื้อกลายพันธุ์ “เดลตา” ร่วมด้วย ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเนตต์ ออกมาวิงวอนให้ชาวอิสราเอลนำบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่า “ปลอดภัย”
ปัจจุบันอิสราเอลมีจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมอย่างน้อย 840,552 คน หายป่วยแล้ว 833,221 คน และเสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 6,429 ราย อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อของอิสราเอลเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมาอยู่หลัก 100 และเพิ่มอีกเป็นมากกว่า 200 คนในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลด้วยว่า 70% ของผู้ป่วยใหม่ในระยะนี้ ติดเชื้อเดลตา