เพื่อการันตีว่า พลเมืองอิสราเอลซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในซีเรียจะได้รับอิสรภาพ รัฐบาลเทลอาวีฟตกลงซื้อวัคซีนป้องกันโควิดของรัสเซีย ให้กับรัฐบาลดามัสกัส ซึ่งปล่อยตัวพลเมืองยิวด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ว่า สืบเนื่องจากการที่กองทัพอิสราเอลส่งตัวคนเลี้ยงสัตว์ชาวซีเรีย 2 คน ซึ่งข้ามพรมแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต กลับประเทศ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังรัฐบาลดามัสกัสปล่อยตัวหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่ง ซึ่งข้ามพรมแดนเข้ามาในซีเรียโดยไม่ได้เจตนา และในเวลานั้นสื่อท้องถิ่นของทั้งสองประเทศรายงานเพียงว่า รัสเซีย “มีบทบาท” ต่อการปล่อยตัวพลเมืองของแต่ละฝ่าย
 
ต่อมาสื่ออีกหลายแห่ง รวมถึงเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส และสำนักข่าวเอพี รายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าว “ไม่ใช่การแลกนักโทษทั่วไป” เนื่องจาก “มีเงื่อนไขที่ไม่ธรรมดา” นั่นคือการที่อิสราเอลจ่ายเงิน 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 36.03 ล้านบาท ) ให้แก่รัสเซีย เป็นค่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ยี่ห้อ “สปุตนิก วี” ของซีเรีย ก่อนการส่งมอบตัวนักโทษครั้งนี้จะเกิดขึ้น แม้ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าอิสราเอลซื้อวัคซีนจำนวนเท่าใด แต่ราคาขายปลีกของวัคซีนสปุตนิก วี ในท้องตลาด ณ ปัจจุบัน ยังไม่ถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโด๊ส ( ราว 300.27 บาท )
 
ด้านทำเนียบเครมลินปฏิเสธให้ความเห็น สำนักข่าวแห่งชาติซีเรีย ( ซานา ) ตอบโต้ว่า ข้อตกลงดังกล่าว “ไม่มีอยู่จริง” ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่า “ไม่มีวัคซีนของอิสราเอลเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” แต่ปฏิเสธตอบคำถามว่า แล้วรัฐบาลซื้อวัคซีนสปุตนิก วี ให้กับซีเรียจริงหรือไม่ โดยผู้นำอิสราเอลกล่าวว่า “สัญญา” กับรัสเซีย ว่าจะเก็บรายละเอียดของการแลกตัวพลเมืองครั้งนี้ “เป็นความลับ”

อย่างไรก็ตาม รายงานที่ออกมาทำให้รัฐบาลอิสราเอลได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากภายในประเทศ เพราะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่รัฐบาล