ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งชี้ว่าประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ของวัคซีนในกลุ่มบุคลากรด่านหน้าในสหรัฐลดลงเหลือ 66% หลังจากที่สายพันธุ์เดลตาเริ่มแพร่ระบาดมากขึ้น จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 91% ก่อนที่สายพันธุ์เดลตาจะเริ่มแพร่ระบาดในประเทศ งานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรด่านหน้าและเจ้าหน้าที่สาธารสุขมากกว่า 4,000 คนใน 6 รัฐ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 ถึงเดือนสิงหาคม 2021 ซึ่งพวกเขาจะได้รับการตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์
ทั้งนี้ ประมาณ 83% ของกลุ่มตัวอย่างได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว โดยประมาณ 2 ใน 3 ได้รับวัคซีนของ Pfizer และอีก 2% ได้รับวัคซีน Johnson & Johnson ส่วนที่เหลือได้รับวัคซีน Moderna
อย่างไรก็ตาม CDC เน้นย้ำว่าวัคซีนยังคงสามารถป้องกันโรคได้ แต่ประสิทธิภาพอาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และตัวเลขที่ได้จากการศึกษาอาจเกิดจากระยะเวลาในการทดลองที่ค่อนข้างสั้น และกลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อย และมีหลักฐานยืนยันว่าวัคซีนยังคงสามารถป้องกันอาการป่วยหนักและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้
งานวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยจากอิสราเอลและสหราชอาณาจักรก่อนหน้านี้ซึ่งระบุว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อเมื่อเวลาผ่านไป
ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐจะเริ่มพิจารณาผลการวิจัยทั้งหลายในสัปดาห์หน้าเพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือบูสเตอร์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ชาวอเมริกัน ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 20 กันยายน